
โพสต์นี้เป็นโพสต์เกี่ยวกับคำนาม คำนามคืออะไร? คำนามคือคำที่ใช้เรียกคนสัตว์ สิ่งของ และสถานที่ หรือเอาไว้ใช้ในการเรียกสิ่งต่างๆรอบตัวเราทั้งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่าง และก็ยังรวมไปถึงคุณสมบัติและอาการความรู้สึกนึกคิดได้ด้วย
ยกตัวอย่าง
มีข้อควรจำนิดนึงนะคะ ถ้าคำนี้เหล่านั้นมีชื่อเรียกเช่นเด็กผู้หญิงที่ชื่อแนนซี่ เราเรียกเธอด้วยชื่อแต่แนนซี่คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหรือคำว่า girl นั่นเองและถ้าสัตว์เลี้ยงของเรามีชื่อ เช่นสุนัขของเราชื่อมูมู่ก็ถือว่าเป็นคำนามเพราะสิ่งที่เราหมายถึงนั้นคือสัตว์เลี้ยงของเราหรือสุนัขนั่นเองซึ่งจะอยู่ในหมวดคำนาม
จริงๆแล้วคำนามมีมากกว่าแค่ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ แต่สำหรับวันนี้ครูอิ๋มนำเฉพาะสิ่งที่เป็นพื้นฐานมาให้ทุกคนได้เรียนรู้กันนะคะ ดังนั้นแค่จำว่ามันคือสิ่งต่างๆรอบตัวเราไม่ว่าจะเป็นคนสัตว์สิ่งของและสถานที่ แต่ที่นอกเหนือจากนั้นจะเป็นเรื่องของความคิด ความรู้สึก หรือเป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง แต่ครั้งหน้าครูอิ๋มจะมาบอกคำอธิบายเกี่ยวกับคำนามเพิ่มเติมกว่าขั้นพื้นฐานก็คอยติดตามกันด้วยนะ
What do you like?
คือประโยคที่เราสามารถ นำคำนามมาใช้ได้คือการถามว่าคุณชอบอะไร ถ้าเราบอกว่าฉันชอบภาษาอังกฤษคือ I like English เวลาเราจะบอกว่าฉันชอบอะไรให้พูดว่า I like แล้วตามด้วยสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่ชอบหรือคำนามนั้นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
และก็ยังมีอีกหลากหลายประโยคนะคะที่เราสามารถนำคำนามไปใช้ ถือว่าทุกๆประโยคในภาษาอังกฤษเนี่ยจะต้องใช้คำนามเกือบทุกประโยคเลยเพราะเนื่องจากว่าคำนามเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุดและเป็นสิ่งที่คนพูดถึงมากที่สุด ดังนั้นคำนามมีความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษมากๆเลยค่ะ
งั้นวันนี้ เรามาเรียนรู้เกี่ยวกับประโยคหรือวลีที่น่ารู้สำหรับคำนามนี้กันเลยว่ามีอะไรบ้าง
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะก็เป็นอะไรที่น่าใช้แล้วก็สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ถือว่าเป็นเบสิกแต่ก็มีประโยชน์มากๆเลยสำหรับประโยคเหล่านี้
คำนามสามารถแยกออกเป็นหลายประเภท
คำนามแบ่งออกได้เป็นสองประเภทใหญ่ใหญ่คือคำนามนับได้เราเรียกภาษาอังกฤษว่า Countable Noun และ คำนามนับไม่ได้เราเรียกภาษาอังกฤษว่า Uncountable Noun
ซึ่งคำนามนับได้สามารถแบ่งออกเป็นคำนามทั่วไป คำนามเฉพาะ คำนามแสดงกลุ่ม
และคำนามนับไม่ได้แบ่งออกเป็นวัตถุนามและนามธรรม
แต่สิ่งที่เราจะเรียนในขั้นพื้นฐานนี้คือ คำนามทั่วไป คำนามเฉพาะ วัตถุนาม
แต่ครั้งนี้เราจะมาเรียนเรื่อง Common Noun ก่อนหรือคำนามทั่วไปนั่นเอง
คำนามทั่วไปคืออะไรบ้าง
คำนามทั่วไปก็คือคำที่ใช้เรียกแทนสิ่งของทั่วไปภาษาอังกฤษเรียกว่า Common Noun ซึ่งเป็นคำนามที่ไม่เจาะจง เป็นคำนามที่บอกถึงสิ่งต่างๆทั่วไปไม่เจาะจงว่าเป็นอันไหนหรือเป็นอันใดอันหนึ่ง เช่นสุนัข เวลาเราพูดว่าสุนัข เราไม่ได้หมายถึงสุนัขตัวใดตัวหนึ่งหรือสุนัขที่บ้านของเรา แต่เป็นสุนัขทั่วๆไป อาจจะบอกว่าฉันชอบสุนัขในทั่วๆไป ฉันเป็นคนชอบสุนัข
อีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับคำนามทั่วไปก็คือเป็นคำนามที่นับได้ ส่วนใหญ่แล้วจะมี คำนำหน้านาม ด้วยเช่น a/an/the
วันนี้เราลองนำคำนามทั่วไปมาฝึกใช้ในประโยคกันเถอะ ประโยคที่เราสามารถนำมาใช้ได้ ครูอิ๋มมีตัวอย่างมาให้ดู
และประโยคหรือวลีที่น่ารู้สำหรับการใช้คำนามทั่วไปมีดังต่อไปนี้เลยค่ะ
การฝึกพูดประโยคเหล่านี้นั้นมีความจำเป็นมากๆและสามารถทำให้บ่งบอกถึงข้อมูลส่วนตัวของเราที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ฟังได้ ฝรั่งชอบพูดกันเรื่องนี้เวลาที่เขาสนิทกัน แล้วเขาจะชอบถามว่าบ้านของคุณเป็นแบบไหน
ต่อมาเรามาพูดถึงคำนามเฉพาะกันเถอะ
คำนามเฉพาะหรือภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Proper Noun ซึ่งจัดอยู่ในหมวดของคำนามนับได้
คำนามเฉพาะ คือคำนามที่ถูกกำหนดให้เป็นชื่อเฉพาะของคนสัตว์สิ่งของหรือสถานที่ตั้งนั้น ทุกๆคำนามส่วนใหญ่แล้วจะมีการตั้งชื่อหรือมีชื่อเฉพาะของตัวเองอยู่ เช่นชื่อของเรานั่นเองเพราะเราเป็นคนถูกไหม 555
คำนามเฉพาะ จะต้องขึ้นต้นด้วยอักษรตัวใหญ่เสมอ เพราะว่ามันเป็นชื่อเฉพาะ เช่นชื่อของเรา ครูอิ๋ม Kru Eim ก็จะต้องเป็นตัว E ตัวใหญ่นะคะ หรือชื่อและนามสกุลของเราก็จะเป็นตัวอักษรตัวแรกตัวใหญ่ขึ้นต้น
และคำนามเฉพาะนี้จะไม่มีคำนำหน้านามหรือ Articles
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคำเสมอไป มันอาจจะมีคำเฉพาะหรือที่เค้าตั้งชื่อไว้เป็นชื่อสถานที่หรือชื่อบางชื่อที่เราจะต้องมี the นำหน้า แต่ว่าเราจะไปเรียนในบทเรียนเรื่องคำนำหน้านามในหัวข้อเรื่อง Articles ก็สามารถไปเรียนรู้ได้ที่โพสต์นั้นๆ ได้เลย
ส่วนประโยคหรือวลีที่น่ารู้ของการใช้คำนามเฉพาะนั้นเราสามารถพูดถึงชื่อเล่นของเราชื่อของเรา ยี่ห้อรถที่เราขับหรือยี่ห้อแบรนด์ต่างๆที่เราใช้ได้ แต่ง่ายที่สุดเลยเราสามารถพูดถึงเดือนเกิดของเราเพราะว่าคำว่า month แปลว่าเดือน แต่คำเฉพาะของมันคือคำว่า มกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม จนถึงเดือนธันวาคมเลย เป็นเรื่องง่ายๆที่อยู่ใกล้ตัวเรา เราสามารถฝึกพูดหรือฝึกจำศัพท์เหล่านั้นให้ได้ รวมถึงการบอกว่าเราอาศัยอยู่ในทวีปไหนซึ่งเป็นอะไรที่เราควรรู้ภูมิศาสตร์ถึงแม้ว่าครูอิ๋มอาจจะสอบตกภูมิศาสตร์ก็เถอะ อิอิ
แล้วก็ชื่อสถานที่ต่างๆที่ถูกตั้งไว้แล้ว เช่นห้างสรรพสินค้า เราจะไม่ค่อยเรียกว่าห้างสรรพสินค้าแต่เราจะเรียกชื่อห้างนั้นๆเลย เช่น เซ็นทรัล สยามพารากอน เดอะมอลล์ เป็นต้น ชื่อต่างๆนี้คือคำนามเฉพาะทั้งสิ้น
มาถึงเรื่องคำนามนับได้กันบ้างนะคะจริงๆสิ่งที่เราพูดไปแล้วนั้นก็ถือว่าอยู่ในหมวดของคำนามนับได้ แต่วันนี้เราจะพูดให้เห็นภาพมากขึ้นว่านามนับได้นั้นคืออะไร
ประโยคและวลีที่น่ารู้สำหรับคำนามนับได้ ขอแนะนำเป็นคำว่า there is, there are ซึ่งจริงๆแล้วคำนี้ภาษาไทยแปลว่า “มี” แต่ว่า แต่ว่า.. มันแตกต่างกับคำว่า have, has เลย เพราะว่า there is, there are ใช้บรรยายสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเราว่ามีอะไรบ้าง ดังนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีใครเป็นเจ้าของ แค่อยากจะบอกคนฟังว่าเนี่ยสิ่งที่ฉันเห็นมันมีอะไรบ้างอยู่รอบๆ เช่นคำว่า There is a car over there. ซึ่งแปลว่ามีรถคันหนึ่งอยู่ตรงนั้น แต่เราไม่ได้บอกเลยว่าใครเป็นเจ้าของ หรือใครมีรถอยู่ตรงนั้นแต่เป็นสิ่งที่เราเห็นว่ามันอยู่รอบๆหรืออยู่ตรงที่เราเห็นนั่นเอง
แต่คำว่า have,has เป็นการบอกว่ามีแต่จะต้องมีประธานซึ่งเป็นผู้ที่เป็นเจ้าของ หรือมีสิ่งใด เช่น I have a car. แปลว่าฉันมีรถหนึ่งคันซึ่งฉันเองนั่นแหละที่เป็นเจ้าของดังนั้น there is, there are แตกต่างกับคำว่า have,has
นามเอกพจน์และนามพหูพจน์ ภาษาอังกฤษเราเรียกว่า Singular คือนามเอกพจน์ Plural คือนามพหูพจน์
เหตุผลที่ต้องเรียนเรื่องนี้ก็เพราะว่าภาษาอังกฤษเนี่ยมันมีทั้งสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวคือเอกพจน์ และสิ่งที่มีมากกว่าหนึ่งก็คือพหูพจน์แยกหมวดหมู่ไปอีกไม่เหมือนภาษาไทยเลยดังนั้นเราจะต้องฝึกเยอะๆเกี่ยวกับเรื่องนี้นะคะ
ในเมื่อเรามีคำนามนับได้เราต้องแบ่งออกเป็นสองประเภทอีกด้วยว่ามันนับได้เป็นเพียงแค่หนึ่งเดียวหรือมันนับได้แต่ว่ามีมากกว่าหนึ่งขึ้นไป
คำนามที่นับไม่ได้เราก็จะเป็นคำศัพท์ธรรมดาคือไม่มี s หรือ es ตามหลัง
แต่คำนามพหูพจน์ จะต้องเติม s,es หรือเป็นรูปอื่นๆเพื่อให้รู้ว่าคำๆนั้นมีมากกว่าหนึ่ง
ดังนั้นเราจะพูดถึงเรื่องของนามเอกพจน์ก่อนนะคะหน้าเอกพจน์คือคำนามที่มีหนึ่งเดียวมีชิ้นเดียวมีอันเดียวคำนี้นั้นจะไม่เติม s,es
ตัวอย่างคือ This is a hat. นี้คือหมวกใบนึง
That is a hat. นั้นคือหมวกใบนึง
ส่วนใหญ่เราก็จะใช้คำว่า this, that มาใช้ในประโยคเยอะเหมือนกัน
คำนามเอกพจน์ส่วนใหญ่แล้วจะมี a/an นำหน้า เพราะเป็นสิ่งที่จะบอกว่าคำนี้นั้นมีเพียงแค่หนึ่งเดียวและก็เป็นนามที่นับได้เพราะว่ามันนับได้เราถึงใช้ a/an บอกได้ว่าเป็นจำนวนหนึ่งเดียว
เรื่องต่อไปนี้คือคำนามพหูพจน์แบบปกติ หรือ Regular Plural Noun
เหตุผลที่บอกว่าเป็นคำนามพหูพจน์แบบปกติก็เพราะว่ามันมีแบบไม่ปกติด้วยแต่ว่าเราจะพูดถึงแต่เรื่อง คำนามแบบปกติก่อน
แบบปกติคืออะไร? ก็คือเวลามันมีมากกว่าหนึ่งมันก็จะเติมแค่ s หรือ es เท่านั้น ก็คือเขียนเหมือนเดิมแต่เติมเข้าไปหลังคำๆนั้น
แต่ภาษาอังกฤษมันก็มีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ว่าวิธีการเติมว่าเราจะเลือกเติม s หรือ es
ก็จะต้องมีหลักการนิดนึงดังนี้
ตัวอย่างประโยคที่ใช้คำนามพหูพจน์ได้นั้นเราก็สามารถนำ this เปลี่ยนเป็น these แปลว่า เหล่านี้
หรือ that เปลี่ยนเป็น those แปลว่าเหล่านั้นมาใช้ได้ these กับ those จะใช้กับ คำนามพหูพจน์เท่านั้น
แม้ว่าจะเป็นคำนามพหูพจน์ที่เติม s หรือ es มันก็ยังไม่จบแค่นี้เพราะว่ามันจะมีคำบางคำ ที่คำลงท้ายบางตัวจะต้องเปลี่ยนคำเหล่านั้นให้เป็นคำอื่น หรือตัดออกแล้วเติม s หรือ es
มาดูเทคนิคเหล่านี้กันได้เลยค่ะ
เรามาดูคำนามพหูพจน์ที่เปลี่ยนรูปกันบ้าง
พอบอกว่าเปลี่ยนรูปนั้นหมายความว่าเราไม่ได้เติม s หรือ es แต่เราจะเปลี่ยนตัวสะกดจากเดิม การอ่านก็จะอ่านแตกต่างไปเลย
คำนามนับไม่ได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Uncountable Noun
คือคำนามที่ไม่สามารถแยกนับได้เพราะว่ามีปริมาณ มากจนเกินไปหรือปกติเค้าจะไม่นิยมนับกันเป็นชิ้นเป็นอัน
ตัวอย่างเช่น Air water milk Rice sugar hair
ประโยคหรือวลีที่น่ารู้เราสามารถนำไปใช้กับการถามคนอื่นว่าคุณชอบดื่มอะไรหรือคุณชอบเครื่องดื่มอะไรก็ได้ ซึ่งก็เป็นอะไรที่สามารถถามฝรั่งได้หรือว่าถามเพื่อนเราได้
นามแสดงความเป็นเจ้าของ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Possessive Noun
เป็นการบอกว่าใครเป็นเจ้าของอะไรโดยจะใช้สัญลักษณ์ ‘ (Apostrophe S) ซึ่งจะแปลว่า “ของ__”
เช่น Kru Eim’s phone. โทรศัพท์ของครูอิ๋ม
ซึ่งมีหลักการเติมดังนี้
ประโยคที่ใช้ในการถามว่าอันนี้ของใคร เราสามารถถามได้ว่า Whose is this? หรือถามว่าคำนามหรือสิ่งนี้เป็นของใคร เช่น โทรศัพท์นี้เป็นของใคร โดยใช้ Whose phone is this/that?
หากใครที่สนใจอ่านบทความเกี่ยวกับแกรมม่าภาษาอังกฤษหรือทริคการใช้ภาษาอังกฤษอื่นๆ สามารถติดตามได้ที่ Social Media (ดูด้านล่าง)